วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เมืองชะโนด


ตำนานพญานาคคำชะโนด

อำเภอบ้านดุงเป็นดินแดนเมืองพญานาค และเป็นที่คั้ง "คำชะโนด"หรือ วังนาคินทร์

เมืองชะโนด ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของอำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี พื้นที่มีสภาพเป็นน้ำคลำ มีต้นไม้ชนิดหนึ่งเกิดขึ้นเต็มบริเวณเนื้อที่ประมาณ ๕๐ ไร่ ต้นไม้ชนิดนี้เรียกว่า ต้นชะโนด มีลักษณะคล้ายต้นตาล ขนาดเท่ากับต้นมะพร้าว
ลำต้นมีกาบห่อหุ้ม และตามกาบรอบๆ ต้น มีหนามยาวและแหลมคม น่ากลัวมาก เมื่อเวลาต้องลมจะเกิดมีเสียง หวือๆ หวืนๆ
มีผลเป็นพวงเหมือนผลมะพร้าว แต่ผลเล็กกว่าองุ่นนิดหน่อย บริโภคไม่ได้เพราะจะมีอาการคันปาก

เนื่องจากต้นชะโนดนี้เกิดขึ้นในบริเวณที่ล้อมรอบๆ ไปด้วยเนินสูง แล้วลาดไปสู่ทุ่งหญ้า ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นเวลาหลายพันปี คนแก่จึงเรียกว่า เมืองชะโนด คงจะเรียกชื่อตามต้นไม้ชนิดนี้เอง

ตำนานคำชะโนด เมืองพญานาค มีเรื่องเล่ากันว่า แต่ก่อนหนองกระแส ซึ่งอยู่ตอนเหนือของประเทศลาว อยู่ตอนใต้ของประเทศจีน เป็นเมืองที่พญานาคครองอยู่โดยแบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งเจ้าพ่อศรีสุทโธ เป็นหัวหน้าครองอยู่ อีกส่วนหนึ่งหัวหน้าผู้ครอง ชื่อ พญาสุวรรณนาค มีบริวารฝ่ายละ ๕๐๐๐ คน เท่าๆ กัน พญานาคทั้งสองเป็นเพื่อนกัน มีความรักสามัคคีกันมาโดยตลอด
ต่อมาเกิดผิดใจกัน เรื่องการแบ่งอาหาร จนเกิดสงครามขึ้น มีการระดมไพร่พลเข้าต่อสู้กัน ทั้งสองฝ่ายรบกันอยู่นาน ๗ ปี
ต่างฝ่ายต่างเมื่อยล้าเอาชนะกันไม่ได้

การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายของพญานาคทั้งสอง ทำให้เดือดร้อนไปทั้งสามภพ คือ บาดาล มนุษย์ และสวรรค์ พื้นโลกสะเทือน เกิดแผ่นดินไหวไปทั่ว ความเดือดร้อนทราบถึงพระอินทร์ จึงได้เสด็จลงมายังหนองกระแส แล้วตรัสเป็นโองการให้ทั้งสองฝ่ายหยุดรบกัน ให้ถือว่าสองฝ่ายเสมอกันไม่มีใครแพ้-ชนะ ให้สร้างแม่น้ำคนละสายออกหนองกระแส ใครสร้างถึงทะเลก่อนจะให้ปลาบึกไปอยู่ในแม่น้ำนั้น

พญาสุทโธนาค จึงพาบริวารสร้างแม่น้ำ มุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส เมื่อถึงตรงไหนมีภูเขาขวางอยู่แม่น้ำจะคดโค้งไปตามภูเขา เพราะพญาสุทโธเป็นนาคใจร้อน แม่น้ำนี้เรียกว่าแม่น้ำโขง คำว่า โขง มาจากคำว่าโค้ง หรือไม่ตรงนั่นเอง

บ่อน้ำคำชะโนด

บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์กลางดงคำชะโนด เชื่อกันว่าเป็นทางขึ้นลงของพญาสุทโธนาค เสด็จจากเมืองบาดาลขึ้นมาเมืองมนุษย์และขึ้นสวรรค์ จึงมีความเชื่อว่าน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีผู้คนนำไปรักษาโรคโดยการดื่ม อาบ รักษาได้สารพัดโรค ตลอดจนรักษาโรคจิต โรคบ้าทั้งหลายได้ด้วย

สมัยก่อนลักษณะเป็นบ่อรูปทรงกลม แต่ปัจจุบันได้ปรับปรุงเป็นบ่อสี่เหลี่ยมจัตุรัส เมื่อปี ๒๕๓๐ กว้างประมาณ ๕ x ๕ เมตร
ขอบบ่อหล่อคอนกรีตโดยรอบสูง ๖๐ ซ.ม. รอบบ่อเป็นลานคอนกรีต ซึ่งจังหวัดอุดรธานีได้เลือกเอาน้ำในบ่อศักดิ์สิทธิ์นี้
ร่วมในพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๕ ธันวาคม ณ มณฑลพระราชพิธีท้องสนามหลวง ทุกปี

จากหนังสือ "ตามรอยพญานาค" ของ อ. อุดม เชยกีวงศ์ ในนั้นมีเรื่องพญานาคในแง่มุมต่างๆ มากมาย ทั้งในตำนานไทย-ลาว ในพระไตรปิฎก รวมไปถึงประสบการณ์ของพระอริยสงฆ์ขณะธุดงค์ด้วย

จากหนังสือ "ตามรอยพญานาค" ของ อ. อุดม เชยกีวงศ์ ในนั้นมีเรื่องพญานาคในแง่มุมต่างๆ มากมาย ทั้งในตำนานไทย-ลาว ในพระไตรปิฎก รวมไปถึงประสบการณ์ของพระอริยสงฆ์ขณะธุดงค์ด้วย

เรื่องกำเนิดแม่น้ำโขงและแม่น้ำน่าน เป็นเหตุมาจากการวิวาทของพญานาคสองตัวที่หนองแส (หรือหนองกระแส) แต่รายละเอียดจะต่างกันเล็กน้อย ระหว่างตำนานของลาว ตำนานสุวรรณโคมคำ และตำนานคำชะโนด

ตำนานลาว บอกว่า ครั้งปฐมกัลป์ มีนาคสองตัวเป็นมิตรสหายกัน อาศัยที่หนองแส คือพินทโยนกวตินาค เป็นใหญ่อยู่ในหนอง และธนะมูลนาค เป็นใหญ่อยู่ท้ายหนอง มีหลานชื่อชีวายนาค นาคทั้งสองตกลงกัน ว่าถ้าได้อาหารมาจะแบ่งกันกิน

อยู่มาวันหนึ่ง มีช้างตัวหนึ่งตายที่ท้ายหนอง ธนะมูลนาคจัดการแบ่งเนื้อช้างเป็นสองส่วน ให้พินทโยนกวตินาคส่วนหนึ่ง ตนกินเองส่วนหนึ่ง ต่อมา มีเม่นมาตายที่หัวหนอง พินทโยนกวตินาคก็แบ่งเป็นสองส่วน แบ่งให้ธนะมูลนาคและกินเองอย่างละส่วน แต่ธนะมูลนาคกินเนื้อเม่นแล้วไม่อิ่ม และบังเอิญไปเห็นขนเม่นยาวตั้งศอก ยาวกว่าขนช้างมากมาย คิดว่าเม่นน่าจะใหญ่กว่าช้างเป็นแน่ จึงโกรธที่พินทโยนกวตินาคหวงเนื้อเม่นไว้กินเอง ทั้งๆ ที่ตนก็แบ่งเนื้อช้างตามที่ตกลงกัน จากนั้น นาคทั้งสองจึงทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง จนน้ำขุ่นไปทั้งหนอง สัตว์ใหญ่น้อยล้มตาย ร้อนถึงพระอินทร์ต้องส่งพระวิสสุกรรมลงมาขับไล่นาคทั้งสองออกจากหนองแส และทำให้นาคอื่นๆ ต้องอพยพไปสู่ที่อื่นไปด้วย โดยระหว่างทางก็ขุดคุ้ยดินจนลึกกลายเป็นคลอง ชีวายนาคขุดจนเกิดแม่น้ำอู (อุรังคนที) เลยไปถึงชีวายนที ธนะมูลนาคก็ขุดจนเกิดแม่น้ำมูล ส่วนพินทโยนกวตินาค ก็ขุดจนเกิดแม่น้ำพิง และเมืองที่ตั้งอยู่ก็ได้ชื่อโยนกตามชื่อนาคตัวนั้น ส่วนนาคตัวอื่นๆ ก็ขุดคุ้ยดินเกิดแม่น้ำสายต่างๆ

เรื่องนาคอพยพ เป็นตำนานที่ชนพื้นเมืองหนองแสซึ่งกระจายถิ่นฐานลงมาตามลุ่มน้ำต่างๆ ทางสุวรรณภูมิจะเล่าขานกันอยู่เนืองๆ

ตำนานสุวรรณโคมคำ มีโครงเรื่องคล้ายกัน โดยนาคที่อยู่ทางทิศเหนือ ชื่อพญาสุตตนาค ส่วนนาคที่อยู่ทางทิศใต้ ชื่อพญาศรีสัตตนาค หลังจากมีเรื่องวิวาทเนื้อช้างเนื้อเม่นกันแล้ว พญาสุตตนาคเห็นว่าพญาศรีสัตตนาคคงมีกำลังสู้พวกของตนไม่ได้ จึงยกกำลังลงมาขับไล่พญาศรีสัตตนาคออกจากหนองแส และจากนั้นมา น้ำจากหนองแสก็ไหลมาตามทางที่พญาศรีสัตตนาคหลบหนีลงมา กลายเป็นแม่น้ำโขง

ตำนานคำชะโนด อยู่ที่ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานีนี่เอง โครงเรื่องก็คล้ายกับตำนานของลาวอีก โดยนาคที่ได้เนื้อช้างมานั้น ชื่อพญาศรีสุทโธ ส่วนนาคที่ได้เนื้อเม่นนั้น ชื่อพญาสุวรรณ การวิวาทของนาคทั้งสองกินเวลานานถึง 7 ปี สัตว์ต่างๆ ในแถบนั้นเดือดร้อนไปทั่ว ร้อนถึงพระอินทร์ต้องลงมาตัดสินความ โดยมีโองการให้นาคทั้งสองหยุดรบกัน แล้วให้แยกกันอยู่โดยสร้างแม่น้ำคนละสายจากหนองแส ใครถึงทะเลก่อนจะได้ปลาบึกลงไปอยู่ในแม่น้ำสายนั้น จากนั้นให้เอาภูเขาพญาไฟเป็นเขตกั้น ใครลุกล้ำก็ให้ไฟจากภูเขาพญาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็นจุลมหาจุล

เมื่อได้รับโองการแล้ว พญาศรีสุทโธก็สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางตะวันออกของหนองแส เจอภูเขาขวางหน้าตรงไหน แม่น้ำก็คดโค้งไปตามภูเขา เพราะพญาศรีสุทโธเป็นนาคใจร้อน แม่น้ำนี้เรียกว่า "แม่น้ำโขง" คำว่า โขง มาจากคำว่า โค้ง คือไม่ตรง

ส่วนพญาสุวรรณ ก็พาบริวารสร้างแม่น้ำลงไปทางใต้ พญาสุวรรณเป็นนาคใจเย็น พิถีพิถัน พยายามสร้างแม่น้ำให้ตรง ซึ่งแม่น้ำนี้เรียกว่าแม่น้ำน่าน ซึ่งเปรียบกับแม่น้ำสายอื่นแล้ว ถือว่าตรงกว่าทุกสาย

ผลก็คือ พญาศรีสุทโธนาคสร้างแม่น้ำโขงถึงทะเลก่อน จึงได้ปลาบึกจากพระอินทร์ ซึ่งปลาบึกนี้ ปรากฏว่ามีที่แม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียวในโลก จากนั้น พญาศรีสุทโธได้เหาะขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองมนุษย์ เพราะนาคอยู่ในเมืองมนุษย์นานไม่ได้ พระอินทร์จึงโปรดให้ทางขึ้นลงไว้ 3 แห่ง คือ

ที่พระธาตุหลวงนครเวียงจันทน์
ที่หนองคันแท
ที่พรหมประกายโลก (คำชะโนด)
แห่งที่สาม คือพรหมประกายโลก คือที่ที่พรหมลงมากินง้วนดินจนหมดฤทธิ์กลายเป็นมนุษย์ ให้พญาศรีสุทโธนาคไปตั้งบ้านเรือนครอบครองเฝ้าอยู่ และให้มีต้นคำชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งลักษณะต้นชะโนดเหมือนต้นไม้สามชนิด คือต้นมะพร้าว ต้นหมาก และต้นตาลผสมกัน และในเวลา 1 เดือนจันทรคติ ข้างขึ้น 15 วัน ให้พระยาศรีสุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นมนุษย์ เรียกชื่อว่า "เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ"

เรื่องเมืองชะโนดนี้ ซีดีสารคดีไปถ่ายเมืองชะโนดที่เป็นเกาะกลางน้ำ มีต้นชะโนดขึ้นเต็ม อยู่ที่อุดรฯ มาให้ดู และเล่าเพิ่มเติมว่า มีเรื่องเล่าว่าเคยมีคนเมืองคำชะโนดออกมาหยิบยืมข้าวของชาวบ้าน หรือไม่ก็มีการจัดงานฉลองในเมืองชะโนด มีการมาว่าจ้างหนังเข้าไปฉายก็มี เป็นที่เล่าลือจนคนแถวนั้นกลัวไปตามๆ กัน

ตำนานสุวรรณโคมคำ จารึกไว้ว่ามีพญานาค 2 ตน โดยนาคที่อยู่ทางทิศเหนือ ชื่อพญาสุตตนาค ส่วนนาคที่อยู่ทางทิศใต้ ชื่อพญาศรีสัตตนาค หลังจากมีเรื่องวิวาทเนื้อช้างเนื้อเม่นกัน โดยนาคที่ได้เนื้อช้างมานั้น ชื่อพ

ตำนานสุวรรณโคมคำ จารึกไว้ว่ามีพญานาค 2 ตน โดยนาคที่อยู่ทางทิศเหนือ ชื่อพญาสุตตนาค ส่วนนาคที่อยู่ทางทิศใต้ ชื่อพญาศรีสัตตนาค หลังจากมีเรื่องวิวาทเนื้อช้างเนื้อเม่นกัน โดยนาคที่ได้เนื้อช้างมานั้น ชื่อพญาศรีสุทโธ ส่วนนาคที่ได้เนื้อเม่นนั้น ชื่อพญาสุวรรณ การวิวาทของนาคทั้งสองกินเวลานานถึง 7 ปี สัตว์ต่างๆ ในแถบนั้นเดือดร้อนไปทั่ว ร้อนถึงพระอินทร์ต้องลงมาตัดสินความ โดยมีโองการให้นาคทั้งสองหยุดรบกัน แล้วให้แยกกันอยู่โดยสร้างแม่น้ำคนละสายจากหนองแส ใครถึงทะเลก่อนจะได้ปลาบึกลงไปอยู่ในแม่น้ำสายนั้น จากนั้นให้เอาภูเขาพญาไฟเป็นเขตกั้น ใครลุกล้ำก็ให้ไฟจากภูเขาพญาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็นจุลมหาจุล

เมื่อได้รับโองการแล้ว พญาศรีสุทโธก็สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางตะวันออกของหนองแส เจอภูเขาขวางหน้าตรงไหน แม่น้ำก็คดโค้งไปตามภูเขา เพราะพญาศรีสุทโธเป็นนาคใจร้อน แม่น้ำนี้เรียกว่า "แม่น้ำโขง" คำว่า โขง มาจากคำว่า โค้ง คือไม่ตรง

ส่วนพญาสุวรรณ ก็พาบริวารสร้างแม่น้ำลงไปทางใต้ พญาสุวรรณเป็นนาคใจเย็น พิถีพิถัน พยายามสร้างแม่น้ำให้ตรง ซึ่งแม่น้ำนี้เรียกว่าแม่น้ำน่าน ซึ่งเปรียบกับแม่น้ำสายอื่นแล้ว ถือว่าตรงกว่าทุกสาย

ผลก็คือ พญาศรีสุทโธนาคสร้างแม่น้ำโขงถึงทะเลก่อน จึงได้ปลาบึกจากพระอินทร์ ซึ่งปลาบึกนี้ ปรากฏว่ามีที่แม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียวในโลก จากนั้น พญาศรีสุทโธได้เหาะขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองมนุษย์ เพราะนาคอยู่ในเมืองมนุษย์นานไม่ได้ พระอินทร์จึงโปรดให้ทางขึ้นลงไว้ 3 แห่ง คือ

  1. ที่พระธาตุหลวงนครเวียงจันทน์
  2. ที่หนองคันแท
  3. ที่พรหมประกายโลก (คำชะโนด)

แห่งที่สาม คือพรหมประกายโลก คือที่ที่พรหมลงมากินง้วนดินจนหมดฤทธิ์กลายเป็นมนุษย์ ให้พญาศรีสุทโธนาคไปตั้งบ้านเรือนครอบครองเฝ้าอยู่ และให้มีต้นคำชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งลักษณะต้นชะโนดเหมือนต้นไม้สามชนิด คือต้นมะพร้าว ต้นหมาก และต้นตาลผสมกัน และในเวลา 1 เดือนจันทรคติ ข้างขึ้น 15 วัน ให้พระยาศรีสุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นมนุษย์ เรียกชื่อว่า "เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ"ทำหน้าที่รักษาคุ้มครองอาณาจักรสุวรรณโคมคำ....

พญาศรีสัตตนาคราช

พญาศรีสัตตนาคราช

ตามคำบอกเล่าของ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย จังหวัดนครพนม กล่าวว่า ทางฝั่งไทยและฝั่งลาวต่างมี กษัตริย์แห่งนาคราช หรือ นาคาธิบดี แยกปกครองดูแล

ฝั่งลาว คือ พญาศรีสัตตนาคราช (นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล) ซึ่งเชื่อว่าเป็นกษัตริย์แห่งพญานาคฝั่งลาว เป็นพญานาคเจ็ดเศียร

ฝั่งไทย คือ พญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ) เป็นกษัตริย์พญานาคฝั่งไทย เป็นพญานาคหนึ่งเศียร

พญาศรีสุทโธ ท่านชอบจำศีลบำเพ็ญเพียร และปฏิบัติธรรม มีนิสัยอ่อนโยนมีเมตตา ไม่ชอบการต่อสู้ ชอบมาปฏิบัติธรรมที่พระธาตุพนม โดยมอบหมายให้เหล่าพญานาค 6 อำมาตย์ดูแลแทน ในระหว่างที่หลบมาจำศีลภาวนา

หลวงปู่เอ่ยชื่อ 6 อำมาตย์แห่งพญานาคไว้เพียง 3 คือ

1. พญาจิตรนาคราช เป็นพญานาคที่รักสวยรักงาม มีเขตแดนปกครองของตน ตั้งแต่ตาลีฟู ถึงจังหวัดหนองคาย ตามแนวแม่น้ำโขง โดยมีที่สุดแดนอยู่วัดหินหมากเป้ง


2. พญาโสมนาคราช มีเขตแดนปกครอง ตั้งแต่วัดหินหมากเป้ง มาจนถึงวัดพระธาตุพนม สุดเขตแดนที่แก่งกะเบา พญาโสมนาคราช มีอุปนิสัยคล้ายพญาศรีสุทโธนาคราช คือชอบปฏิบัติธรรม จึงเป็นที่ไว้วางใจ และโปรดปรานแก่พญาศรีสุทโธนาคราชมากกว่าพญานาคอื่น ๆ


3. พญาชัยยะนาคราช มีเขตแดนจากแก่งกะเบา เรื่อยไปจนสุดแดนที่ปากแม่น้ำโขงลงทะเลในเขมร พญานาคตนนี้มีฤทธิ์เดชมาก ชอบการรณรงค์ทำสงคราม คือชอบการต่อสู้เป็นนิสัย

พญาศรีสัตตนาคราช เป็นใหญ่เหนือพญานาคทั้งปวงในฝั่งลาว เป็นพญานาคที่ทรงฤทธิ์ ท่านเป็นพญานาคที่ชอบจำศีลและประพฤติปฏิบัติธรรมเหมือนพญาศรีสุทโธนาคราช โดยชอบมาที่วัดพระธาตุพนมเหมือนกัน

หลวงปู่คำพันธ์ยังได้กล่าวอีกว่า ส่วนใดที่อยู่ใกล้ต้นน้ำลำธาร หรือหากมี

พิธีกรรมอันใดเกิดขึ้น ให้อัญเชิญบอกกล่าวแก่เหล่าพญานาค พิธีกรรมนั้นจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง

เกี่ยวกับพญานาคที่วัดธาตุพนม มีเรื่องราวบันทึกไว้ว่า ในคืนขึ้น 15 ค่ำ

เดือน 11 ปี 2500 (วันออกพรรษา) คืนนั้นมีฝนตกหนัก นายไกฮวดและภรรยา ได้ลุกขึ้นมารองน้ำฝนไว้ดื่มกินตอนกลางดึก บังเอิญเห็นลำแสงแปลกประหลาดสว่างเป็นลำโต ขนาดต้นตาล 7 ลำแสง และมีสีสันแตกต่างกัน 7 สี สวยงามมาก โดยที่ลำแสงทั้ง 7 พุ่งมาจากฟากฟ้าทิศเหนือ ด้วยลักษณะแข่งกัน คือแซงกันไปแซงกันมา จนพุ่งเข้าซุ้มประตูวัดธาตุพนมแล้วก็หายไป

มีสามเณรรูปหนึ่งในขณะนั้นประทับทรงบอกนายไกฮวดและภรรยาว่าลำแสงทั้ง 7 คือ พญานาค มาจากเทือกเขาหิมาลัย มาเพื่อปกปักรักษาพระธาตุพนม และช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยาก

แต่หลวงปู่คำพันธ์บอกว่า นั่นเป็นพญาศรีสุทโธนาคราช และอำมาตย์ทั้ง 6 แสดงฤทธิ์ ในโอกาสที่ท่านได้บอกกล่าวเรื่องพญานาคนี้ ท่านจึงได้กล่าวพยากรณ์ว่า

พญานาคจะช่วยผู้ที่บูชาศรัทธาในพญานาคให้ผ่านพ้นอันตรายจากภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นหลังจากท่านมรณภาพไปแล้ว 3 ปี ... หลังหลวงปู่ตาย 3 ปี บ้านเมืองจะเริ่มวุ่นวายเดือดร้อนให้พวกเจ้าศรัทธา และบูชาพญานาค ก็จะพ้นวิกฤตินั้นได้”

ท่านบอกว่าจงสังเกตดูให้ดีจะเห็นความวุ่นวายเดือดร้อนจะปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ หลวงปู่คำพันธ์มรณภาพ เมื่อ 24 พฤศจิกายน 2546

พยากรณ์นี้สอดคล้องกับพยากรณ์โบราณของเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (พระครูขี้หอม) ผู้บูรณะพระธาตุพนม ระหว่างปี พ.ศ. 2233 – 2235

“ปี 2555 เมืองไทยจะเกิดวิกฤติ จนถึงขั้นอาจตกต่ำลงไป”

และยายชีนวล วัดภูฆ้องคำ อายุ 90 กว่าปี อดีตเพื่อนสำเร็จตัน (ศิษย์สำเร็จลุน) ได้ย้ำพยากรณ์นี้ว่า

“เริ่มแล้วนะ (2549) เค้าของความวุ่นวายเดือดร้อนจะปรากฏชัดเจน ขึ้นเรื่อย จนอีก 5 ปีข้างหน้า, ถ้าเป็นผู้อยู่ในศีลธรรมจะปลอดภัย”


ฝังเหล็กไหล

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไปวัดถ้ำแฝดมาเจอหลวงพ่อวัชระด้วย และได้ให้ท่านฝังเหล็กไหลฤาษีและครอบมงกุฏพุทธเจ้าอีกรู้สึกดี และได้คุยกับหลวงพ่อนานพอสมควร หลวงพ่อท่านใจดี ใบหน้าท่านอิ่มบุญมากดูไม่รู้เลยว่าใกล้จะ 60 แล้ว ยังถามท่านเลยว่า จริงเหรอหลวงพ่อที่อายุจะ 60 แล้วท่านบอกก็เพิ่งจะครบ 57 ปีนี้นี่เองสงสัยคราวหลังต้องทำสำเนาบัตรประชาชนแจกมั้งนี่ ไปวัดถ้ำแฝดเป็นครั้งแรกเพราะตั้งใจไว้ว่าจะไปฝังเหล็กไหลกับหลวงพ่อให้ได้ ตื่นตี3ครึ่ง นั่งแท็กซี่ไปสายใต้ต่อรถทัวร์เมืองกาญจน์ ลงอำเภอท่าม่วง
นั่งมอไซด์ต่ออีกประมาณ 9-10 กิโลเท่านั้น บรรยากาศดีมากเลย ได้ไปไหว้หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ที่สังขารไม่เน่าเปื่อยอีกด้วย และได้ไปไหว้พ่อปู่ฤาษีในถ้ำศักดิ์สิทธิ์อีก กลับกรุงเทพแบบอิ่มทั้งบุญอิ่มทั้งใจเลย นี่ตั้งใจว่าจะไปฝังเหล็กไหลตาแรดอีก 1 องค์ด้วย
เพราะรู้สึกว่าแค่ฝังมาองค์แรก ก็ทำให้เราสามารถนั่งสมาธิแล้วทำให้จิตใจสงบขึ้นนะและที่สำคัญ ตอนนั่งอยู่รู้สึกเลยว่าที่แก้มร้อนๆ พอออกจากสมาธิก็มาดูกระจก โอ้โหแดงมากเหมือนตากแดดมาเลยทั้ง 2 แก้มทั้งที่นั่งในห้องแอร์นะก็รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน
และอีกอย่างก็รู้สึกอุ่นในที่มีท่านอยู่ด้วยตลอดเวลาแบบนี้ท่านจะได้ช่วยคุ้มครองด้วย ถ้าใครลังเลอยู่ว่ากลัวเจ็บ หรือจะฝังดีหรือไม่ฝังดี ขอบอกว่า ก่อนอื่นต้องมีความศรัทธาก่อนเมื่อมีความศรัทธาแล้วสิ่งดีๆก็จะเกิดขึ้นเองนะ เหมือนอย่างตั้วพอคิดได้ว่าเนี่ยอยากไปหาหลวงพ่อองค์นี้จังเลยใจเรามีความศรัทธาท่านก่อนแล้วมีความศรัทธาในองค์เหล็กไหลด้วยเพราะก็หาหนังสือมาอ่าน ติดตามหนังสือพระหลายเล่มอยู่แล้วก็ไม่คิดมากพอมั่นใจแน่ใจก็เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมแล้วไปรับสิ่งที่ดีๆทันทีเลย
ถ้าเพื่อนๆมีอะไรดีๆ ก็มาเล่าให้ฟังด้วยนะ

พญาศรีสัตตนาคราช

พญาศรีสัตตนาคราช

ตามคำบอกเล่าของ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย จังหวัดนครพนม กล่าวว่า ทางฝั่งไทยและฝั่งลาวต่างมี กษัตริย์แห่งนาคราช หรือ นาคาธิบดี แยกปกครองดูแล

ฝั่งลาว คือ พญาศรีสัตตนาคราช (นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล) ซึ่งเชื่อว่าเป็นกษัตริย์แห่งพญานาคฝั่งลาว เป็นพญานาคเจ็ดเศียร

ฝั่งไทย คือ พญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ) เป็นกษัตริย์พญานาคฝั่งไทย เป็นพญานาคหนึ่งเศียร

พญาศรีสุทโธ ท่านชอบจำศีลบำเพ็ญเพียร และปฏิบัติธรรม มีนิสัยอ่อนโยนมีเมตตา ไม่ชอบการต่อสู้ ชอบมาปฏิบัติธรรมที่พระธาตุพนม โดยมอบหมายให้เหล่าพญานาค 6 อำมาตย์ดูแลแทน ในระหว่างที่หลบมาจำศีลภาวนา

หลวงปู่เอ่ยชื่อ 6 อำมาตย์แห่งพญานาคไว้เพียง 3 คือ

1. พญาจิตรนาคราช เป็นพญานาคที่รักสวยรักงาม มีเขตแดนปกครองของตน ตั้งแต่ตาลีฟู ถึงจังหวัดหนองคาย ตามแนวแม่น้ำโขง โดยมีที่สุดแดนอยู่วัดหินหมากเป้ง


2. พญาโสมนาคราช มีเขตแดนปกครอง ตั้งแต่วัดหินหมากเป้ง มาจนถึงวัดพระธาตุพนม สุดเขตแดนที่แก่งกะเบา พญาโสมนาคราช มีอุปนิสัยคล้ายพญาศรีสุทโธนาคราช คือชอบปฏิบัติธรรม จึงเป็นที่ไว้วางใจ และโปรดปรานแก่พญาศรีสุทโธนาคราชมากกว่าพญานาคอื่น ๆ


3. พญาชัยยะนาคราช มีเขตแดนจากแก่งกะเบา เรื่อยไปจนสุดแดนที่ปากแม่น้ำโขงลงทะเลในเขมร พญานาคตนนี้มีฤทธิ์เดชมาก ชอบการรณรงค์ทำสงคราม คือชอบการต่อสู้เป็นนิสัย

พญาศรีสัตตนาคราช เป็นใหญ่เหนือพญานาคทั้งปวงในฝั่งลาว เป็นพญานาคที่ทรงฤทธิ์ ท่านเป็นพญานาคที่ชอบจำศีลและประพฤติปฏิบัติธรรมเหมือนพญาศรีสุทโธนาคราช โดยชอบมาที่วัดพระธาตุพนมเหมือนกัน

หลวงปู่คำพันธ์ยังได้กล่าวอีกว่า ส่วนใดที่อยู่ใกล้ต้นน้ำลำธาร หรือหากมี

พิธีกรรมอันใดเกิดขึ้น ให้อัญเชิญบอกกล่าวแก่เหล่าพญานาค พิธีกรรมนั้นจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง

เกี่ยวกับพญานาคที่วัดธาตุพนม มีเรื่องราวบันทึกไว้ว่า ในคืนขึ้น 15 ค่ำ

เดือน 11 ปี 2500 (วันออกพรรษา) คืนนั้นมีฝนตกหนัก นายไกฮวดและภรรยา ได้ลุกขึ้นมารองน้ำฝนไว้ดื่มกินตอนกลางดึก บังเอิญเห็นลำแสงแปลกประหลาดสว่างเป็นลำโต ขนาดต้นตาล 7 ลำแสง และมีสีสันแตกต่างกัน 7 สี สวยงามมาก โดยที่ลำแสงทั้ง 7 พุ่งมาจากฟากฟ้าทิศเหนือ ด้วยลักษณะแข่งกัน คือแซงกันไปแซงกันมา จนพุ่งเข้าซุ้มประตูวัดธาตุพนมแล้วก็หายไป

มีสามเณรรูปหนึ่งในขณะนั้นประทับทรงบอกนายไกฮวดและภรรยาว่าลำแสงทั้ง 7 คือ พญานาค มาจากเทือกเขาหิมาลัย มาเพื่อปกปักรักษาพระธาตุพนม และช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยาก

แต่หลวงปู่คำพันธ์บอกว่า นั่นเป็นพญาศรีสุทโธนาคราช และอำมาตย์ทั้ง 6 แสดงฤทธิ์ ในโอกาสที่ท่านได้บอกกล่าวเรื่องพญานาคนี้ ท่านจึงได้กล่าวพยากรณ์ว่า

พญานาคจะช่วยผู้ที่บูชาศรัทธาในพญานาคให้ผ่านพ้นอันตรายจากภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นหลังจากท่านมรณภาพไปแล้ว 3 ปี ... หลังหลวงปู่ตาย 3 ปี บ้านเมืองจะเริ่มวุ่นวายเดือดร้อนให้พวกเจ้าศรัทธา และบูชาพญานาค ก็จะพ้นวิกฤตินั้นได้”

ท่านบอกว่าจงสังเกตดูให้ดีจะเห็นความวุ่นวายเดือดร้อนจะปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ หลวงปู่คำพันธ์มรณภาพ เมื่อ 24 พฤศจิกายน 2546

พยากรณ์นี้สอดคล้องกับพยากรณ์โบราณของเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (พระครูขี้หอม) ผู้บูรณะพระธาตุพนม ระหว่างปี พ.ศ. 2233 – 2235

“ปี 2555 เมืองไทยจะเกิดวิกฤติ จนถึงขั้นอาจตกต่ำลงไป”

และยายชีนวล วัดภูฆ้องคำ อายุ 90 กว่าปี อดีตเพื่อนสำเร็จตัน (ศิษย์สำเร็จลุน) ได้ย้ำพยากรณ์นี้ว่า

“เริ่มแล้วนะ (2549) เค้าของความวุ่นวายเดือดร้อนจะปรากฏชัดเจน ขึ้นเรื่อย จนอีก 5 ปีข้างหน้า, ถ้าเป็นผู้อยู่ในศีลธรรมจะปลอดภัย”


ฝังเหล็กไหล

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไปวัดถ้ำแฝดมาเจอหลวงพ่อวัชระด้วย และได้ให้ท่านฝังเหล็กไหลฤาษีและครอบมงกุฏพุทธเจ้าอีกรู้สึกดี และได้คุยกับหลวงพ่อนานพอสมควร หลวงพ่อท่านใจดี ใบหน้าท่านอิ่มบุญมากดูไม่รู้เลยว่าใกล้จะ 60 แล้ว ยังถามท่านเลยว่า จริงเหรอหลวงพ่อที่อายุจะ 60 แล้วท่านบอกก็เพิ่งจะครบ 57 ปีนี้นี่เองสงสัยคราวหลังต้องทำสำเนาบัตรประชาชนแจกมั้งนี่ ไปวัดถ้ำแฝดเป็นครั้งแรกเพราะตั้งใจไว้ว่าจะไปฝังเหล็กไหลกับหลวงพ่อให้ได้ ตื่นตี3ครึ่ง นั่งแท็กซี่ไปสายใต้ต่อรถทัวร์เมืองกาญจน์ ลงอำเภอท่าม่วง
นั่งมอไซด์ต่ออีกประมาณ 9-10 กิโลเท่านั้น บรรยากาศดีมากเลย ได้ไปไหว้หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ที่สังขารไม่เน่าเปื่อยอีกด้วย และได้ไปไหว้พ่อปู่ฤาษีในถ้ำศักดิ์สิทธิ์อีก กลับกรุงเทพแบบอิ่มทั้งบุญอิ่มทั้งใจเลย นี่ตั้งใจว่าจะไปฝังเหล็กไหลตาแรดอีก 1 องค์ด้วย
เพราะรู้สึกว่าแค่ฝังมาองค์แรก ก็ทำให้เราสามารถนั่งสมาธิแล้วทำให้จิตใจสงบขึ้นนะและที่สำคัญ ตอนนั่งอยู่รู้สึกเลยว่าที่แก้มร้อนๆ พอออกจากสมาธิก็มาดูกระจก โอ้โหแดงมากเหมือนตากแดดมาเลยทั้ง 2 แก้มทั้งที่นั่งในห้องแอร์นะก็รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน
และอีกอย่างก็รู้สึกอุ่นในที่มีท่านอยู่ด้วยตลอดเวลาแบบนี้ท่านจะได้ช่วยคุ้มครองด้วย ถ้าใครลังเลอยู่ว่ากลัวเจ็บ หรือจะฝังดีหรือไม่ฝังดี ขอบอกว่า ก่อนอื่นต้องมีความศรัทธาก่อนเมื่อมีความศรัทธาแล้วสิ่งดีๆก็จะเกิดขึ้นเองนะ เหมือนอย่างตั้วพอคิดได้ว่าเนี่ยอยากไปหาหลวงพ่อองค์นี้จังเลยใจเรามีความศรัทธาท่านก่อนแล้วมีความศรัทธาในองค์เหล็กไหลด้วยเพราะก็หาหนังสือมาอ่าน ติดตามหนังสือพระหลายเล่มอยู่แล้วก็ไม่คิดมากพอมั่นใจแน่ใจก็เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมแล้วไปรับสิ่งที่ดีๆทันทีเลย
ถ้าเพื่อนๆมีอะไรดีๆ ก็มาเล่าให้ฟังด้วยนะ

พญานาค นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเ

นาคา

นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล


นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า

ตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู


เป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน

ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม


ความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติ

พญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้


พญานาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะพบเห็น เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่างๆบันไดขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนา ภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง กับศาสนาพุทธอีกมากมาย


พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น

พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม

พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน

พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์

พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร

สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆ

จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี

ความเชื่อเกี่ยวพันกับชีวิต น้ำ ธรรมชาติ

จะได้ยินอยู่เสมอว่า ปีนี้นาคให้น้ำเท่าไร กี่ตัว ฝนฟ้าดี หรือไม่ดี นาคให้น้ำสร้างความอุดมสมบูรณ์แก่สรรพชีวิต ทั้งปวง พญานาค ที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ใต้น้ำ ตามคติฮินดู พญาอนันตนาคราช แท่นบรรทมของพระนารายณ์ ที่นับถือเป็นเทพเจ้า พญานาค เปรียบได้กับท้องน้ำทั้งหลายในจักรวาล นาคมีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ฝนตกหรือไม่ตกก็ได้ ตลอดจนสามารถแปลงกายเป็นเมฆฝนได้ พญานาค...เป็นที่มาของแม่น้ำต่างๆ อันหมายถึงผู้รักษาพลังแห่งชีวิตทั้งหลาย

ตามความเชื่อของชาวพุทธ เทวดาแห่งน้ำ คือ วรุณและสาคร ที่ต่างก็เป็นจอมแห่งนาคราช นอกจากที่เกี่ยวข้องกับน้ำบนโลกแล้ว นาคยังเกี่ยวข้องกับน้ำในสวรรค์อีกด้วย คนโบราณเชื่อว่า สายรุ้ง กับ นาค เป็นอันเดียวกัน ที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ข้างหนึ่งของรุ้งจะดูดน้ำจากพื้นโลกขึ้นไปข้างบน เมื่อถึงจุดที่สูงสุดก็จะปล่อยน้ำลงมาเป็นฝนที่มีลำตัวของนาคเป็นท่อส่ง

ในตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช

ที่เห็นได้ชัดก็คือ ที่ปราสาทพนมรุ้ง จะมีคูเมืองที่เป็นสระน้ำ 4 ด้าน รอบปราสาทและมี พญานาค อยู่ด้วย ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ นาคที่ราวบันได จึงมี พญานาค ซึ่งตามความเป็นจริง (ความเชื่อ) การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริงๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์ พญานาค ไว้ เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น

แม้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิด เช่นของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์

นาคให้น้ำ

พญานาค เป็นสัญลักษณ์แห่งธาตุน้ำ "นาคให้น้ำ" เป็นเกณฑ์ที่ชาวบ้านรู้และเข้าใจดี ที่ใช้วัดในแต่ละปี จำนวนนาคให้น้ำมีไม่เกิน 7 ตัว ถ้าปีไหนอุดมสมบูรณ์มีน้ำมากเรียกว่า "นาคให้น้ำ 1 ตัว" แต่หากปีไหนแห้งแล้งเรียกว่าปีนั้น "มีนาคให้น้ำ 7 ตัว" จะวัดกลับกันกับจำนวนนาค ก็คือที่น้ำหายไป เกิดความแห้งแล้งนั้นก็เพราะ พญานาคเกี่ยงกันให้น้ำ แต่ละตัวจึงกลืนน้ำไว้ในท้องไม่ยอมพ่นน้ำลงมา

เกี่ยวข้องกับคนไทย

เรามักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ ในงาน จิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม นาคเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะตามอาคารวัดต่างๆ หลังคาอาคารที่สร้างขึ้นสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถานบันศาสนสถาน ตามคตินิยมที่ว่า นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง เช่น นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได นาคลำยอง ที่ทำเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับนาคสะดุ้ง นาคเบือน นาคจำลอง และนาคทันต์ คันทวยรูปพญานาค

พญานาคกับตำนานในพระพุทธศาสนา

ตามตำนาน พญานาค มีอยู่ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว ดังเช่น หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว ได้เสด็จไปตามเมืองต่างๆ เพื่อแสดงธรรมเทศนา มีครั้งหนึ่งได้เสด็จออกจากร่มไม้อธุปปาลนิโครธ ไปยังร่มไม้จิกชื่อ "มุจลินท์" ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุข อยู่ 7 วัน คราวเดียวกันนั้นมีฝนตกพรำๆ ประกอบไปด้วยลมหนาวตลอด 7 วัน ได้มีพญานาคชื่อ "มุจลินท์" เข้ามาวงด้วยขด 7 รอบพร้อมกับแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะป้องกันฝนตกและลมมิให้ถูกพระวรกาย หลังจากฝนหายแล้ว คลายขนดออก แปลงเพศเป็นมานพมายืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์ ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า

ความเชื่อดังกล่าวทำให้ชาวพุทธสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรก แต่มักจะสร้างแบบพระนั่งบนตัวพญานาค ซึ่งดูเหมือนว่าเอาพญานาคเป็นบัลลังก์ เพื่อให้เกิดความสง่างาม และทำให้คิดว่า พญานาค คือผู้คุ้มครองพระศาสดา

พญานาค...สะพาน (สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ โลกศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อที่ว่า พญานาค กับ รุ้ง เป็นอันเดียวกัน ก็คือสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์นั่นเอง

นาคสะดุ้ง...ที่ราวบันไดโบสถ์นั้นได้สร้างขึ้นตามความเชื่อถือ "บันไดนาค" ก็ด้วยความเชื่อดังกล่าว แม้ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ก็โดยบันไดแก้วมณีสีรุ้ง ที่เทวดาเนรมิตขึ้นและมีพญานาคจำนวน 2 ตน เอาหลังหนุนบันไดไว้

หรือแม้แต่ ตุง ของชาวล้านนา และพม่า ก็เชื่อกันว่าคลี่คลายมาจากพญานาค และหมายถึงบันไดสู่สวรรค์

ความเชื่อของชาวฮินดู ก็ถือว่า นาคเป็นสะพานเชื่อมภาวะปกติ กับที่สถิตของเทพ ทางเดินสู่วิษณุโลก เช่น ปราสาทนครวัด จึงทำเป็น พญานาคราช ที่ทอดยาวรับมนุษย์ตัวเล็กๆ สู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ หรือก็บั้งไฟของชาวอีสานที่ทำกันในงานประเพณีเดือนหก ก็ยังทำเป็นลวดลาย และเป็นรูปพญานาค พญานาคนั้นจะถูกส่งไปบอกแถนบนฟ้าให้ปล่อยฝนลงมา

ในสมัยพระพุทธเจ้า มีพญานาคตนหนึ่งนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วได้เกิดศรัทธา จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่อยู่มาวันหนึ่งเข้านอนในตอนกลางวัน หลังจากหลับแล้วมนต์ได้เสื่อมกลายเป็นงูใหญ่ จนพระภิกษุรูปอื่นไปเห็นเข้า ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออกไป เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน

ต่อจากนั้นมาพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรือสัตว์อื่นๆ บวชอีกเป็นอันขาด เพราะก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชจะต้องถาม อันตรายิกธรรม หรือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ รวม 8 ข้อเสียก่อน ในจำนวน 8 ข้อนั้น มีข้อหนึ่งถามว่า "ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า"

ที่มา :จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Oarfish ปลาพญานาค Oarfish ปลาที่คนนึกเป็นพญานาค OarFish เป็นปลาทะเล ออร์เดอร์ ( Order ) Lampriformes แฟมิลี่ ( Family ) Regalecidae OarFish ห

Oarfish ปลาพญานาค




Oarfish ปลาที่คนนึกเป็นพญานาค

OarFish เป็นปลาทะเล
ออร์เดอร์ ( Order ) Lampriformes
แฟมิลี่ ( Family ) Regalecidae










OarFish หรืออีกชื่อหนึ่งที่คนเรียกว่า Dragon of the Deep "มังกรทะเลลึก"


Oarfishเจ้าปลาไหล หรือ มังกรทะเลลึกปลาไหลทะเลลึก
หรือ ปลามังกรทะเล


มนุษย์เคยเคลือบแคลงมา เป็นเวลานานมาแล้ว


เกี่ยวกับสัตว์ทะเลที่มีชื่อว่า "มังกรทะเลลึก" (Dragons of The Deep) มีนิยายเก่าแก่ ที่บรรยายถึงมังกรทะเลกล่าวไว้ว่า


"มังกรทะเล..มีลำตัวยาวคล้ายงู หัวเหมือนม้า มีขนคอสีแดงดุจเปลวเพลิง"







ในที่สุดความจริงก็ปรากฏ



เพราะได้มีนักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการค้นคว้าหาความจริง


และพบความจริงว่า "มังกรทะเลลึก" ที่กล่าวถึงนั้น ที่แท้แล้ว ก็คือ ปลาประหลาดชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า ปลาใบพาย หรือ ปลาริบบิ้น นั่นเอง บางทีก็เรียกว่า ปลาออร์ (OAR FISH)


ปลาชนิดนี้ มีขากรรไกรยาว หน้าผากโหนกคล้ายม้า ตาโต คลีบบนหลัง ยื่นออกมายาวเลยหัว มีคลีบพิเศษ ยื่นออกมาทั้งสองข้างของส่วนหัว คล้ายใบพาย และมีลำตัวแบน


ปลาประหลาดชนิดนี้ หาดูได้ยากที่สุดในโลก เพราะมันอยู่ในความลึกของท้องทะเล ถึง 3,000 ฟุต และเคยพบตัวใหญ่ที่สุด มีความยาวถึง 200 ฟุต


แม้ว่า สัตว์ประหลาดชนิดนี้ จะมีขนาดใหญ่โตอย่างไร แต่ก็ไม่เป็นพิษ เป็นภัย กับมนุษย์นะคะ ก็เพราะมันไม่มีเขี้ยวเล็บอะไร ที่สำคัญก็คือสัตว์โลกที่แสนสวย น่าดูมาก


ส่วนใหญ่ ก็จะพบในสภาพที่ตายแล้วนั่นเอง








OarFish เป็นปลาทะเล เป็น ปลาน้ำลึก พบได้ในน่านน้ำเขตร้อน
ปลาออร์ฟิซเป็นปลาตัวแบนยาว ขนาดใหญ่ มีสีเงิน มีครีบหลังยาวตั้งแต่หัวจรดหาง
โดยเฉพาะด้านหน้าจะยาวเป็นพิเศษ ปลาออร์ฟิซ
ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่บันทึกไว้ใน Guinness Book of World Records มีความยาวถึง 11 เมตร










ออร์ฟิซ มาจากความเชื่อทีว่า ปลาถูกแรงดันน้ำอันมหาศาล อัดจนร่างกายแบนยาว ( Oar แปลว่า รูปร่างยาว แบนเหมือนแผ่นกระดาน )


แต่ปัจจุบันสามารถพิสูจน์แล้วไม่เป็นความจริง และด้วยพฤติกรรม เมื่อใกล้ตายปลาออร์ฟิซ จะขึ้นมาบนผิวน้ำ















ทำให้เป็นต้นเหตุของตำนานเกี่ยวกับมังกรทะเล มากมาย
และคิดว่าคงเป็นต้นเหตุให้เกิดตำนานพญานาคนั่นเอง(ความเห็นส่วนตัวค่ะ)







ขอบคุณ
www.magiedubouddha

http://www.rmutphysics.com
http://2.bp.blogspot.com
ฟิสิกส์ราชมงคล

Oarfish ปลาพญานาค Oarfish ปลาที่คนนึกเป็นพญานาค OarFish เป็นปลาทะเล ออร์เดอร์ ( Order ) Lampriformes แฟมิลี่ ( Family ) Regalecidae OarFish ห

Oarfish ปลาพญานาค




Oarfish ปลาที่คนนึกเป็นพญานาค

OarFish เป็นปลาทะเล
ออร์เดอร์ ( Order ) Lampriformes
แฟมิลี่ ( Family ) Regalecidae










OarFish หรืออีกชื่อหนึ่งที่คนเรียกว่า Dragon of the Deep "มังกรทะเลลึก"


Oarfishเจ้าปลาไหล หรือ มังกรทะเลลึกปลาไหลทะเลลึก
หรือ ปลามังกรทะเล


มนุษย์เคยเคลือบแคลงมา เป็นเวลานานมาแล้ว


เกี่ยวกับสัตว์ทะเลที่มีชื่อว่า "มังกรทะเลลึก" (Dragons of The Deep) มีนิยายเก่าแก่ ที่บรรยายถึงมังกรทะเลกล่าวไว้ว่า


"มังกรทะเล..มีลำตัวยาวคล้ายงู หัวเหมือนม้า มีขนคอสีแดงดุจเปลวเพลิง"







ในที่สุดความจริงก็ปรากฏ



เพราะได้มีนักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการค้นคว้าหาความจริง


และพบความจริงว่า "มังกรทะเลลึก" ที่กล่าวถึงนั้น ที่แท้แล้ว ก็คือ ปลาประหลาดชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า ปลาใบพาย หรือ ปลาริบบิ้น นั่นเอง บางทีก็เรียกว่า ปลาออร์ (OAR FISH)


ปลาชนิดนี้ มีขากรรไกรยาว หน้าผากโหนกคล้ายม้า ตาโต คลีบบนหลัง ยื่นออกมายาวเลยหัว มีคลีบพิเศษ ยื่นออกมาทั้งสองข้างของส่วนหัว คล้ายใบพาย และมีลำตัวแบน


ปลาประหลาดชนิดนี้ หาดูได้ยากที่สุดในโลก เพราะมันอยู่ในความลึกของท้องทะเล ถึง 3,000 ฟุต และเคยพบตัวใหญ่ที่สุด มีความยาวถึง 200 ฟุต


แม้ว่า สัตว์ประหลาดชนิดนี้ จะมีขนาดใหญ่โตอย่างไร แต่ก็ไม่เป็นพิษ เป็นภัย กับมนุษย์นะคะ ก็เพราะมันไม่มีเขี้ยวเล็บอะไร ที่สำคัญก็คือสัตว์โลกที่แสนสวย น่าดูมาก


ส่วนใหญ่ ก็จะพบในสภาพที่ตายแล้วนั่นเอง








OarFish เป็นปลาทะเล เป็น ปลาน้ำลึก พบได้ในน่านน้ำเขตร้อน
ปลาออร์ฟิซเป็นปลาตัวแบนยาว ขนาดใหญ่ มีสีเงิน มีครีบหลังยาวตั้งแต่หัวจรดหาง
โดยเฉพาะด้านหน้าจะยาวเป็นพิเศษ ปลาออร์ฟิซ
ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่บันทึกไว้ใน Guinness Book of World Records มีความยาวถึง 11 เมตร










ออร์ฟิซ มาจากความเชื่อทีว่า ปลาถูกแรงดันน้ำอันมหาศาล อัดจนร่างกายแบนยาว ( Oar แปลว่า รูปร่างยาว แบนเหมือนแผ่นกระดาน )


แต่ปัจจุบันสามารถพิสูจน์แล้วไม่เป็นความจริง และด้วยพฤติกรรม เมื่อใกล้ตายปลาออร์ฟิซ จะขึ้นมาบนผิวน้ำ















ทำให้เป็นต้นเหตุของตำนานเกี่ยวกับมังกรทะเล มากมาย
และคิดว่าคงเป็นต้นเหตุให้เกิดตำนานพญานาคนั่นเอง(ความเห็นส่วนตัวค่ะ)







ขอบคุณ
www.magiedubouddha

http://www.rmutphysics.com
http://2.bp.blogspot.com
ฟิสิกส์ราชมงคล
Oarfish ปลาพญานาค




Oarfish ปลาที่คนนึกเป็นพญานาค

OarFish เป็นปลาทะเล
ออร์เดอร์ ( Order ) Lampriformes
แฟมิลี่ ( Family ) Regalecidae










OarFish หรืออีกชื่อหนึ่งที่คนเรียกว่า Dragon of the Deep "มังกรทะเลลึก"


Oarfishเจ้าปลาไหล หรือ มังกรทะเลลึกปลาไหลทะเลลึก
หรือ ปลามังกรทะเล


มนุษย์เคยเคลือบแคลงมา เป็นเวลานานมาแล้ว


เกี่ยวกับสัตว์ทะเลที่มีชื่อว่า "มังกรทะเลลึก" (Dragons of The Deep) มีนิยายเก่าแก่ ที่บรรยายถึงมังกรทะเลกล่าวไว้ว่า


"มังกรทะเล..มีลำตัวยาวคล้ายงู หัวเหมือนม้า มีขนคอสีแดงดุจเปลวเพลิง"








ในที่สุดความจริงก็ปรากฏ



เพราะได้มีนักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการค้นคว้าหาความจริง


และพบความจริงว่า "มังกรทะเลลึก" ที่กล่าวถึงนั้น ที่แท้แล้ว ก็คือ ปลาประหลาดชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า ปลาใบพาย หรือ ปลาริบบิ้น นั่นเอง บางทีก็เรียกว่า ปลาออร์ (OAR FISH)


ปลาชนิดนี้ มีขากรรไกรยาว หน้าผากโหนกคล้ายม้า ตาโต คลีบบนหลัง ยื่นออกมายาวเลยหัว มีคลีบพิเศษ ยื่นออกมาทั้งสองข้างของส่วนหัว คล้ายใบพาย และมีลำตัวแบน


ปลาประหลาดชนิดนี้ หาดูได้ยากที่สุดในโลก เพราะมันอยู่ในความลึกของท้องทะเล ถึง 3,000 ฟุต และเคยพบตัวใหญ่ที่สุด มีความยาวถึง 200 ฟุต


แม้ว่า สัตว์ประหลาดชนิดนี้ จะมีขนาดใหญ่โตอย่างไร แต่ก็ไม่เป็นพิษ เป็นภัย กับมนุษย์นะคะ ก็เพราะมันไม่มีเขี้ยวเล็บอะไร ที่สำคัญก็คือสัตว์โลกที่แสนสวย น่าดูมาก


ส่วนใหญ่ ก็จะพบในสภาพที่ตายแล้วนั่นเอง









OarFish เป็นปลาทะเล เป็น ปลาน้ำลึก พบได้ในน่านน้ำเขตร้อน
ปลาออร์ฟิซเป็นปลาตัวแบนยาว ขนาดใหญ่ มีสีเงิน มีครีบหลังยาวตั้งแต่หัวจรดหาง
โดยเฉพาะด้านหน้าจะยาวเป็นพิเศษ ปลาออร์ฟิซ
ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่บันทึกไว้ใน Guinness Book of World Records มีความยาวถึง 11 เมตร











ออร์ฟิซ มาจากความเชื่อทีว่า ปลาถูกแรงดันน้ำอันมหาศาล อัดจนร่างกายแบนยาว ( Oar แปลว่า รูปร่างยาว แบนเหมือนแผ่นกระดาน )


แต่ปัจจุบันสามารถพิสูจน์แล้วไม่เป็นความจริง และด้วยพฤติกรรม เมื่อใกล้ตายปลาออร์ฟิซ จะขึ้นมาบนผิวน้ำ















ทำให้เป็นต้นเหตุของตำนานเกี่ยวกับมังกรทะเล มากมาย
และคิดว่าคงเป็นต้นเหตุให้เกิดตำนานพญานาคนั่นเอง(ความเห็นส่วนตัวค่ะ)








ขอบคุณ
www.magiedubouddha

http://www.rmutphysics.com
http://2.bp.blogspot.com
ฟิสิกส์ราชมงคล

"พญานาค มีจริงหรือไม่" ของคุณ

มีจริงครับแต่ที่จริงมันคือปลาพญานาคครับ ลักษณะของมันคือมีหงอนคล้ายกับพญานาคในคติของเราครับที่สำคัญตัวมันยาวมากครับ

มีการอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับปลาชนิดนี้ดังนี้ครับ
ปลาพญานาค ( Oarfish ) เป็นปลาน้ำลึกพบได้ในน่านน้ำเขตร้อน อยู่ใน Order Lampriformes และอยู่ใน Family Regalecidae มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Legalecus glesne หรือมีอีกชื่อหนึ่งที่คนเรียกว่า มังกรทะเลลึก ( Dragon of the Deep )
ปลาชนิดนี้มีขากรรไกรยาว หน้าผากโหนกคล้ายม้า ตาโต มีครีบหลังยาวตั้งแต่หัวจรดหาง โดยเฉพาะด้านหน้าจะยาวเป็นพิเศษ และมีครีบพิเศษยื่นออกมาทั้งสองข้างของส่วนหัวคล้ายใบพาย ส่วนลำตัวแบนยาว ขนาดใหญ่มีสีเงิน
และเป็นปลาที่หาดูได้ยากที่​สุดในโลก เพราะอยู่ในทะเลลึกถึง 3,000 ฟุต โดยเคยพบตัวใหญ่ที่สุดมีควา​มยาวถึง 200 ฟุต
Oarfish ชื่อนี้มาจากลักษณะลำตัวที่แบนยาว โดย Oar แปลว่า รูปร่างยาว แบนเหมือนแผ่นกระดาน
ในสมัยก่อนมีความเชื่อว่าปลาถูกแรงดันน้ำอันมหาศาลอัดจนร่างกายแบนยาว
โดยตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่บันทึกไว้ใน Guiness Book of Wolrd Records มีความยาวถึง 11 เมตร
ปลาพญานาคเป็นปลาที่อยู่ในน้ำเค็ม เมื่ออยู่ในน้ำลึก Oxygen ต่ำ มันจะใช้ Heamocyanin ในการลำเลียง Oxygen ทำให้เลือดมีลักษณะเป็นสีเขียวฟ้า-น้ำเงิน ( สีเลือดประหลาดนี่เอง ทำให้นึกว่าเป็นพญานาคจริงๆ โดย Heamocyanin นี้ยังสามารถพบได้ในสัตว์จำพวกปูด้วยครับ
แต่เมื่อมันขึ้นมาอยู่ในเขตน้ำตื้น มันจะค่อยๆปรับตัวโดยการเปลี่ยนไปใช้ Heamogolobin ลำเลียง Oxygen ทำให้เลือดกลายเป็นสีแดงตามความเชื่อดังเดิมของชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า ปลาพญานาค สามารถเตือนเรื่องแผ่นดินไหวได้เพราะการที่อยู่ในท้องทะเลลึก อาจทำให้มันสามารถสัมผัสกับสัญญาณของเปลือกโลกได้
ถ้ามีปลาพญานาคขึ้นมาที่ผิวน้ำจำนวนมาก นักวิชาการส่วนหนึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหว
แต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้
โดยปลาออร์ฟิช เมื่อใกล้ตาย จะมีพฤติกรรมขึ้นบนผิวน้ำ
ทำให้เป็นต้นเหตุของตำนานเกี่ยวกับมังกรทะเล พญานาค และสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลมากมาย
"โดยเคยพบตัวใหญ่ที่สุดมีควา​มยาวถึง 200 ฟุต "
ข้อมูลน่าจะผิดพลาดนะครับ 200 ฟุตนี่เท่ากับ 60 เมตร ยาวเกินไปมากๆครับ
ข้อมูลจาก fishbase ปลา Oarfish โตเต็มที่มีขนาดประมาณ 11 เมตรครับ

ปลาพญานาค

ปลาพญานาค